ตาแห้ง แก้ไขด้วยการ พักสายตา
ตาแห้ง เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่หลักๆมาจาก ดวงตา มีการสร้างน้ำตาลดลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอายุมากขึ้น การรับประทานยาบางอย่าง เช่น ยาแก้แพ้ ยาคลายเครียด การใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่ถูกวิธี
และยังพบว่า ตาแห้งเกิดได้จากภูมิแพ้ที่หนังตาหรือเยื่อตาอักเสบเรื้อรัง หรือเกิดจากความเสื่อมของต่อมน้ำตาตามวัยหรือความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกายโดยเฉพาะในเพศหญิง ซึ่งทำให้คุณภาพของน้ำตาลดลง รวมถึงผู้ที่เคยทำเลสิก ผ่าตัดตา ผู้มีปัญหาหลับตาไม่สนิท และแม้ช่วงหน้าหนาวที่อากาศแห้ง ลมแรง ทำให้หลายๆคนดื่มน้ำน้อยลง ก็อาจส่งผลให้ตาแห้งได้วมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน เช่น การจ้องจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานเกินไป ก็สามารถทำให้น้ำตาระเหยไปได้เช่นกัน
ทั้งนี้ภาวะที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยโรคตา "ร้อยละ 70-80 ของผู้ป่วยที่มาพบจักษุแพทย์มักมาด้วยอาการเคืองตา ไม่สบายตา ซึ่งเมื่อซักอาการแล้วก็พบว่าเป็นโรคตาแห้งทั้งสิ้น ซึ่ง นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ป่วยเข้ามารักษาอาการตาแห้ง ส่วนหนึ่งมาจากสภาพแวดล้อมที่แห้ง โดยลักษณะที่บ่งชี้ว่ามีอาการตาแห้ง ได้แก่ มีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณดวงตา ,ตาแดง ,น้ำตาไหล ,กระพริบตาบ่อย ,ตาฝ้าฟาง โดยกลุ่มที่พบบ่อยมากที่สุด คือ ผู้สูงอายุ คนที่ใส่คอนแทคเลนส์ เด็กและผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง
การสังเกตอาการตนเองก่อนต้องผ่าตัด
ผู้ป่วยโรคตาแห้งมักมีอาการคันหรือเคืองคล้ายมีทรายหรือฝุ่นอยู่ในตาบริเวณตาขาวมีสีแดงจากการอักเสบ ขอบเปลือกตาแดง แพ้แสง แพ้ลม ตามัวเป็นบางขณะและรู้สึกไม่สบายตาตอนตื่นนอน ซึ่งหากปล่อยไว้ในระยะยาวอาการเคอืงตาจะยิ่งรุนแรงขึ้นเกิดการอักเสบและการดึงรั้งของเปลือกตาทำให้ขนตาลงมาทิ่มตา ท้ายที่สุดหากเกิดการระคายเคืองจนกระจกตาเป็นแผลอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไขในที่สุด
วิธีการดูแลและป้องกันตาแห้ง
- หากต้องใช้สายตาหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ควรพักสายตาทุก 30-60 นาที ด้วยการหลับตา 1-2 นาที กะพริบตาบ่อยๆ
- ผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ก็ไม่ควรใส่นานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน
- ผู้ที่ต้องรับประทานยาที่แก้แพ้เป็นประจำ อาจจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมช่วย
- ควรดื่มน้ำมากๆ
- หลีกเลี่ยงที่ที่มีลมแรง แต่ถ้าต้องอยู่ในที่ที่อากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมพัด ควรสวมแว่นเพื่อกันแดดและลมที่เป็นสาเหตุทำให้ตาแห้งได้
- นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา พวกผัก ผลไม้ ปลาหรืออาหารทะเลที่มีกรดไขมันที่จำเป็นหรือโอเมก้า-3 จะช่วยให้น้ำตาระเหยช้าลง
การรักษาอาการตาแห้ง
- การใช้น้ำตาเทียมเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา
- การใช้ยาหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบของผิวนัยน์ตาหรือผิวเยื่อบุตา และช่วยบรรเทาอาการคันระคายเคืองตา แต่การใช้ยากลุ่มนี้จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และใช้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น
- การทำความสะอาดเปลือกตาด้วยน้ำยาพิเศษ เพื่อกำจัดเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกที่อยู่บริเวณรอบเปลือกตา
- การประคบน้ำอุ่นอุณหภูมิประมาณ 41-43 องศาเซลเซียสเป็นประจำเช้า-เย็น
- การนวดและทำความสะอาดเปลือกตา (การกดรีดไขมันตามแนวการวางตัวของต่อมไมโบเมียนที่ขอบเปลือกตา)
- การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ลดการเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน และพักสายตาเป็นระยะๆ
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรทะนุถนอมดวงตาด้วยการพักสายตาเป็นระยะๆ ไม่ใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน แม้ว่าอาการตาแห้งจะไม่ได้ร้ายแรง เป็นก็สามารถหายได้ง่าย แต่มันจะกระทบวิถีชีวิตของเราในแต่ละวัน ทำให้ทำงานได้ไม่เต็มที่ เรียนไม่เต็มที่ และอาจส่งผลเสียอื่นๆตามมา