อาการปวดท้อง จาก 5 สาเหตุนี้!! มักถูกมองข้ามบ่อย
“ อาการปวดท้อง คือการที่ร่างกายของคุณกำลังบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ” นี่เป็นคำพูด ของ Robynne Chutkan, M.D. ผู้ก่อตั้ง Digestive Center for Wellness (ศูนย์ระบบย่อยอาหารเพื่อสุขภาพ) ที่อยู่ใน Chevy Chase, Maryland, และเป็นผู้ประพันธ์หนังสือ The Microbiome Solution. ซึ่งเขาได้ตั้งข้อสมมุติฐานไว้ว่า ทำไมเราถึงต้องปวดท้อง จากการวิจัยจึงพบว่า สาเหตุของอาการส่วนใหญ่เกิดจาก 5 ประการนี้
- รับประทานอาหารมากเกินไป
การรับประทานอาหารมากเกินไป อาจเกิดจากการที่คุณรับประทานอาหารไม่เพียงพอระหว่างวัน ทำให้รู้สึกหิวตลอดทั้งวัน ตกเย็นจึงมีอาการหิว และรับประทานมากเกินไป ทั้งๆที่การทานมื้อเช้าถือว่าสำคัญสุด แต่หลายคนกลับเลือกทานมื้อเย็นเป็นหลัก
และยังแนะนำเพิ่มว่า “เราไม่ควรข้ามมื้ออาหาร” หรือหมายถึง ไม่ทานเช้า แต่ไปทานเที่ยงและเย็นเลย นี่เป็นคำเตือน จาก Jaclyn London, M.S., R.D., C.D.N. ผู้อำนวยการด้านการอาหาร ของสถาบัน Good Housekeeping Institute เพราะการกินอาหารทุกสามถึงสี่ชั่วโมง จะช่วยรักษาพลังงาน ทำให้รู้สึกอิ่มพอดี เป้าหมายคือ ต้องไม่ปล่อยให้ตนเองรู้สึกหิว หรือกินอิ่มเกินไป เพราะทั้งสองแบบนี้จะทำให้มีอาการปวดท้อง จึงแนะนำให้รับประทานอย่างพอดีในแต่ละมื้อ และทานให้ครบ 3 มื้อ และหากรู้ว่าในมื้อเย็น คุณต้องมีงานเลี้ยงใหญ่ หรือทานอาหารชุดใหญ่ แนะนำให้ทานขนมลองท้องไปก่อนสัก 2-3 ชั่วโมง เพื่อมื้อเย็นคุณจะได้อิ่มเร็ว
2. รับประทานอาหารช้ากว่ากำหนด
บางประเทศมองว่าการรับประทานอาหารว่างตอนดึก เป็นเรื่องปกติ เพราะเขารู้สึกว่า “มันก็เหมือนระบบอื่น ๆ ในร่างกาย ที่ทำงานปกติในรอบวัน (circadian rhythm)” นี่เป็นคำพูดของ Chutkan แต่เธอแนะนำว่า “ในตอนดึกควรเป็นเวลาที่กระเพาะได้หยุดพัก และยังเป็นช่วงที่ระบบการย่อยทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะเมื่อเราหลับควรเป็นช่วงที่ทุกอย่างในร่างกายได้หยุดนิ่งจริงๆ ถ้ามีอาหารเข้าไปและจำเป็นต้องย่อยในเวลาที่เราหลับ จะทำให้พักผ่อนไม่เต็มที่ และเกิดอาการปวดท้อง ไม่สบายตัว
ดังนั้นแล้ว การทานมื้อเย็นที่ดีที่สุดคือตอน 5 โมงเย็น และในกรณีที่รู้ตัวว่ามีอาการปวดท้อง ก็ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง หรือ มีเครื่องเทศมากเกินไปในตอนดึก เช่น อาหารทอด ซ๊อสเผ็ด อาหารที่เป็นกรด หรือพืชตระกูลส้ม
3. กระเพาะอาหารอักเสบ
หากคุณเกิดอาการแสบท้อง แน่นท้อง อาจเกิดจากกระเพาะอาหารอักเสบ หรือกระเพาะอักเสบเรื้อรัง อาจเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มรสเปรี้ยวจัด หรือจำพวกเหล้าผสมผลไม้ (cocktail) มากเกินไป และหากรับประทานยาต้านอักเสบ เช่นพวก ไอบูโพรเฟน ตามลงไป จะทำให้ยิ่งปวดท้องไปอีก
สำหรับคนทั่วไปแล้ว อาการปวดท้องที่เกิดจากกระเพาะอักเสบจะสามารถหายได้เองในสองสามวัน แต่ก็ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายเพื่อช่วยให้หายได้ไวขึ้น และคุณสามารถรับประทาน ยาลดกรด (antacids) เพื่อบรรเทาอาการได้ดี แต่ควรเว้นการดื่มแอลกอฮอล รวมทั้งอาหารเผ็ด และ ยาแก้ปวดลดไข้ประเภท แอสไพริน อย่าง Advil. ไปก่อน แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นใน 3-4 วัน ก็ควรไปพบแพทย์ค่ะ
4. อาการท้องผูก
การอุจจาระเป็นประจำทุกวัน ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสุขภาพดีเสมอไปนะคะ เพราะคุณอาจมีอาการท้องผูก โดยเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างสมองและ ลำไส้ ซึ่งพบว่าเมื่อเกิดอาการท้องผูก ลำไส้ใหญ่จะส่งสัญญาณไปสู่สมอง ว่าไม่หิว ทำให้มีความรู้สึกว่า “อิ่ม” หรือรู้สึกอึดอัดในช่องท้อง จึงขอแนะนำว่า “ลองเพิ่มอาหารประเภทเส้นใย และน้ำบริสุทธิ์ อย่างการดื่มน้ำบริสุทธิ์หนึ่งแก้วในตอนที่ตื่นขึ้นมา เพราะสามารช่วยเรื่องระบบการขับถ่ายได้ดีมาก รวมทั้งเพิ่มน้ำที่จำเป็นในร่างกายอีกด้วย” และหากว่าอาการปวดยังคงอยู่ และการปรับวิถีชีวิตแบบนี้ ไม่ช่วยให้ดีขึ้น แนะนำให้ไปพบแพทย์คะ เพราะการดื่มน้ำบริสุทธิ์จะช่วยได้เฉพาะในกรณีป่วยเรื้อรัง ข้อมูลจากการศึกษา 2011 (2011 study) ทั้งนี้อาจเกิดจากโรคอื่นที่ทำให้เกิดอาการคล้ายกัน เช่นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำงานผิดปกติ รวมถึงอาการที่ลำไส้เคลื่อนไหวช้า ทำให้เกิดอาการท้องผูกนั้นเอง
5. อาการหัวใจวาย
Chutkan ได้กล่าวไว้ว่า “สตรีจะมีอาการเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ (GI symptom) มากกว่าบุรุษ ในระยะที่เป็นโรคหัวใจ” โดยพบว่าหลายคนที่มาห้องฉุกเฉิน เพราะอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน แน่นหน้าอก เวียนหัว มักได้รับยาลดกรดไป เนื่องจากคิดว่าเป็นอาการอาหารไม่ย่อย แต่แท้จริงแล้วมันคือสัญญาณของโรคหัวใจ ดังนั้นหากเกิดอาการกระเพาะลำไส้เฉียบพลัน ต้องรีบรักษาโดยด่วน เพราะหากคุณมีอาการเสี่ยงต่อโรคหัวใจวายนอกเหนือจากอาการเหล่านี้ จะเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก
จาก 5 ประเด็น ที่กล่าวมา ส่วนใหญ่คนทั่วไปมักมองข้าม เพราะเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่แท้จริงแล้วการปวดท้องอันเกิดจากสาเหตุเหล่านี้บ่อยๆ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะเรื่องเล็กๆอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่คุณคาดไม่ถึง อย่าลืมว่าสุขภาพที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง อย่าปล่อยให้ความละเลยกลายเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตนะคะ อ่านบทความนี้แล้ว อย่าลืมสำรวจตัวเองกันดูน้าาา